นิทาน
วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556
นิทานเรื่อง Alice in wonderland
ตอน..." ลงโพรงกระต่าย "
อลิซเริ่มเบื่อที่จะนั่งอยู่ข้าง ๆ พี่สาวโดยที่ไม่มีอะไรทำ เธอเหลือบมองหนังสือ ที่พี่สาวของเธอ ถือไว้ในมือหลายครั้ง ด้วยหนังสือเล่มนั้นไม่มีรูปภาพและบท สนทนาที่น่าสนุกและน่าสนใจอะไร เลยสักนิด...อลิซคิด แต่เป็นเพราะด้วยเธอ เป็นผู้อ้อนวอนให้พี่สาวอ่านหนังสือให้เธอฟังนั่นเอง อลิซชั่งใจ ว่าการทำอย่างอื่น คงจะสนุกกว่าการนั่งฟังอยู่อย่างเงียบ ๆ อย่างนี้หรือ ปล่าวน้า...
" ทันใดนั้นเอง" กระต่ายขาวตาสีชมพูตัวหนึ่งก็วิ่งผ่านมา แต่ภาพที่เห็นนั้นดูไม่มีอะไรแปลกประหลาด เพราะอลิซก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องผิดปกติเท่าไรนักที่ได้ยินกระต่ายพูดกับตัวเอง แบบรีบร้อนว่า " ตายแล้ว ! ตายแล้ว ! ฉันต้องสายแน่ ๆ เลย " แล้วจากนั้นกระต่าย ก็หยิบนาฬิกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อกั๊ก พร้อม กับก้มลงมองเวลา แล้ววิ่งต่อไปด้วย ท่าทางที่รีบร้อน อลิซลุกขึ้นยืน เพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า เธอยังไม่เคยเห็นกระต่ายที่ ไหนใส่เสื้อกั๊กหรือพกนาฬิกาแบบนี้มาก่อนเลย.....
และด้วยความที่สงสัยอย่างเหลือประมาณ อลิซรีบวิ่งตามกระต่ายตัวนั้น ไปในท้องทุ่ง และโชคดี ที่วิ่งไปทันและเห็นมันหายลงไปในโพรงกระต่าย ที่เป็นหลุมใหญ่โพรงหนึ่ง เพียงเดี๋ยวเดียว อลิซก็กระโดดตามลง ไปในโพรงนั้น โดยไม่ได้ฉุกใจคิดแม้แต่น้อยเดียวว่า เธอจะกลับออกมาจากโพรงนี้ได้ด้วยวิธีใด เสียด้วยสิ....ในโพรงกระต่ายนั้นทอดยาวไปเหมือนอุโมง แล้วจู่ ๆ ทางก็หักลงต่ำ จนอลิซต้องชะงักเท้าของตัวเองแทบไม่ทัน มารู้ตัวอีกทีก็ต่อเมื่อเธอได้ร่วงลงไป ในเหวลึกนั่นเสียแล้ว
"ว้า..สายไปเสียแล้ว ไม่น่าที่จะกระโดดตามมาเลย นี่ถ้าแม่รู้ คงต้องโกรธแน่ ๆ เพราะแม่เคยบอกไม่ให้เราทำในสิ่งไหนที่ดูเหมือนว่า อาจจะเป็นอันตรายเสียด้วยสิ"
ถ้าไม่ใช่เพราะเหวนี้ลึกมากก็แสดงว่าอลิซคงจะตกลงไปอย่างช้า ๆ เพราะขณะที่ ตกลงไปนั้น เธอยังมีเวลาเหลือเฟือที่จะเหลียวมองไปรอบ ๆ ตอนแรกเธอ พยายามมองลงไปที่ข้างล่างสุด แต่มันก็ดูเหมือนว่าจะมืดเสียจนมองอะไรไม่เห็น เธอจึงเปลี่ยนมามองที่ด้านข้างและได้พบว่ามีตู้เสื้อผ้าและชั้นหนังสือเต็มไปหมด บางช่วงก็มีแผนที่กับรูปภาพแขวนอยู่บนขอด้วย อลิซหล่นลงไป หล่น ลงไป ลงไป ลงไปเรื่อย ๆ มันจะมีวันจบสิ้นไหมนะ ! อลิซคิด
" สงสัยจังว่าฉันตกลง มาได้กี่ไมล์แล้วนะ" อลิซอดที่จะพูดออกมาดัง ๆ ไม่ได้
"คงใกล้ถึงกลางโลกแล้วมั้งเนี่ย ขอคิดเดี๋ยวนะ....ฉันว่าคงสักสี่พัน ไมล์ ได้ละมั้งนี่....ใช่คงจะลึกราว ๆ นั้นแหละนะ...แต่ เอ๊ะ นี่ฉันจะร่วงผ่านไปถึงโลกอีก ซีกหนึ่งเลย หรือเปล่า ! ถ้าไปโผล่ที่นั่นแล้วไปเจอคนเดินกลับหัวคงตลกดี ! เขา เรียกว่าประเทศที่อยู่ด้านปรปักษ์กันของโลกไง"
...อลิซยังคงหล่นลงไป ลงไป ลงไปเรื่อย ๆ และเมื่อไม่มีอะไรให้ทำเธอรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะเคลิ้มหลับ เธอจึง เอื้อมมือไปคว้าหวีกับกระจกส่องหน้ามาได้ " แหมพอดีเลย กำลังว่างอยู่ทีเดียว ถ้าจะได้เจอคน หลาย ๆ ประเทศ แล้วละก็ ก็ต้องหวีผมเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าก่อนนะ เพราะเดี๋ยวจะต้องไปอายขายหน้าเขา ด้วยผมที่ยุ่ง ๆนี่น่ะสิ ! "
แล้วทันใดนั้นเอง...ก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น ตัวของเธอนั่นเองได้ตกลงไปบนกองกิ่งไม้และใบ ไม้แห้ง แล้วการล่วงหล่นก็จบสิ้นลงเสียที.......อลิซไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด เธอรีบ ลุกขึ้นยืนแล้วแหงนหน้ามองขึ้นไปที่ด้านบน ก็เห็นแต่เพียงความมืดมิด ข้างหน้า มีทางยาวอีกเส้นหนึ่ง พอเพ่งมองไปก็เห็น กระต่ายขาวเดินอยู่ไม่ไกลนัก มันยัง คงเร่งรุดไปข้างหน้าไม่ยอมรอช้าแม้แต่ครู่เดียว อลิซรีบวิ่งตัวปลิว ตามไป และทัน ได้ยินมันพูดในตอนเลี้ยวหัวมุมว่า
" โธ่...หูฉัน...หนวดฉัน ป่านนี้สายแย่แล้ว ! โธ่ โธ่..."
ตอนที่เลี้ยวนั้นอลิซตามหลังมันมาติด ๆ แต่พอเลี้ยวมาแล้ว กลับมอง ไม่เห็นมันอีกเลย...
สักแค่อึดใจเดียวอลิซพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ สว่างไสวไปหมด ภายในห้องโถงมี ประตูมากมายหลายบาน แต่ทุกบานปิดล๊อกไว้ทั้งหมด หลังจากที่ไปลองเปิดประตูทุกด้าน ทุกบานดูแล้ว อลิซก็เดินอย่างเศร้าสร้อยมาที่ กลางห้อง นึกในใจว่าเธอจะออกไป จากที่นี่ได้อย่างไรกัน ทันใดนั้นอลิซก็เหลือบไปเห็นโต๊ะกลมสามขาตัวหนึ่ง ทำด้วย แก้วทั้งตัวมีสิ่งหนึ่งวางอยู่ที่บนโต๊ะ นั่นมันเป็นกุญแจทองคำดอกจิ๋วนี่ ทีแรกอลิซคิด ว่ามันจะต้องเป็นลูกกุญแจของประตูบานใดบานหนึ่งอย่าง แน่ ๆ
แต่...โธ่เอ๋ย ถ้าไม่ใช่ รูกุญแจจะใหญ่เกินไปแล้ว ลูกกุญแจก็คงจะเล็กจนเกินไปแหละ เพราะ ไม่ว่ายังไง ๆ มันก็ไขประตูไม่ได้เลยสักบาน แต่เมื่ออลิซพยายามอีกครั้งเธอก็ได้พบว่ามีประตูอยู่ บานหนึ่งที่สอดลูกกุญแจจิ๋วดอกนั้นลงไปได้อย่างพอดีพอเหมาะ อ้า...ดีใจจริง ๆ ที่ ไขได้ ! อลิซเปิดประตูบานนั้นออก ปรากฏว่าเห็นเป็นทางเส้นเล็ก ๆ ใหญ่กว่าโพรง หนูนิดเดียวเอง เธอ คุกเข่าแล้วพยายามมองเข้าไปภายใน ภาพที่เห็นคือสวนที่สวยงาม ที่สุดเท่าที่เคยได้เห็นมา อลิซอยากเข้าไปเดินเล่นในสวนที่เห็น แต่ว่า ประตูนั่นก็เล็ก เสียจนเธอจะเสือกหัวลอดเข้าไปก็ยังไม่ได้ และเท่าที่ผ่าน ๆ มามีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้น เยอะแยะ จนอลิซชักจะเริ่มคิดว่า ในโลกนี้มีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้น้อยเหลือเกินจริง ๆ.... และดูเหมือนว่าการรอคอยและการนั่งคิดอยู่ตรงหน้าประตูจิ๋วเล็ก ๆ ที่เข้าไปไม่ได้นั้น มันดูว่าจะ ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเสียเลย
อลิซจึงกลับไปที่โต๊ะสามขาตัวเดิมอีกครั้ง แอบหวังว่าบางที อาจจะมีลูกกุญแจ อีกดวงวางอยู่ แต่คราวนี้เธอพบขวดเล็ก ๆ ใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ที่ตรงคอขวดมีแถบกระดาษพันไว้ และมีตัวหนังสือเขียนกำกับไว้ว่า ..." ดื่มฉันสิ " พิมพ์ไว้อย่างสวยงามด้วยอักษรขนาดใหญ่ ก็ดีอยู่หรอกนะที่เขียนว่า " ดื่มฉันสิ " แต่อลิซผู้ฉลาดเฉลียวไม่รีบร้อนทำอะไรแบบ นั้นหรอก
" ไม่ ฉันจะต้องดูก่อนว่า มันมีเครื่องหมายแสดงว่า
" เป็นพิษ " อยู่หรือเปล่า " อลิซพูด แต่ว่าขวดใบนี้ไม่มี เครื่องหมายบอกว่า " เป็นพิษ" อลิซจึงกล้าตัดสินใจยกมันขึ้นดื่มดู ปรากฏว่าเพียง เดี๋ยวเดียวอลิซก็ดื่มจนหมดขวด
" แปลกจัง " อลิซพูดขึ้น " รู้สึกว่าตัวฉันกำลังหด ลงไปเรื่อย ๆ แน่ ๆ เลย " และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ตอนนี้อลิซตัวสูงแค่สิบนิ้ว เธอยิ้มแป้น เพราะรู้ว่าตอนนี้ เธอตัวเล็กพอที่จะเข้าไปในสวนทางประตูเล็ก ๆ นั่น ได้แล้ว แต่เดี๋ยวก่อน เธอต้องรอดูสักครู่ว่าตัว เธอจะหดเล็กลงไปมากกว่านี้อีกหรือ เปล่า
อลิซรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย " ใครจะไปรู้ล่ะ...ใช่ไหม? " อลิซเผอพูดกับตัวเอง ไม่นานนัก เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก อลิซจึงตัดสินใจว่าจะต้องรีบเข้า ไปใน สวนให้เร็วที่สุด แต่ ! อนิจจา อลิซผู้น่าสงสาร ! พอไปถึงประตูเธอก็เพิ่งนึกออกว่า ลืมลูกกุญแจ ทองคำไว้บนโต๊ะ แล้วเมื่อเดินกลับไป เธอก็ไม่สามารถที่จะหยิบลูก กุญแจนั้นได้เสียแล้ว...
ทั้ง ๆ ที่ มองเห็นว่ามันยังวางอยู่ที่บนโต๊ะอย่างชัดเจน เพราะโต๊ะแก้วใสแจ๋วจนมองทะลุได้ อลิซพยายามทุกวิถี ทางที่จะปีนขาโต๊ะขึ้นไป แต่มันก็ลื่นเหลือเกิน หลังจากที่พยายามปีนจนหมดแรงแล้วอลิซตัวจิ๋วก็ได้ แต่นั่ง ร้องไห้อยู่กับพื้น..ร้องจนน้ำตาเป็นเผาเต่า แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น " เธอน่าจะอายตัว เองบ้างนะ " อลิซพูด " เด็กผู้หญิงเก่ง ๆ อย่างเธอ จะมานั่งร้องไห้อยู่อย่างนี้ได้ยังไง ! ฉันขอสั่งให้หยุดร้องเดี๋ยว นี้ ! หยุดนะ " แล้วเธอก็หยุดร้องไห้แอบยิ้มออกมาได้นิด หนึ่งเพราะดีใจที่สั่งตัวเองได้นั่นเองแหละ...
ตอน " ทะเลน้ำตา "
" ว้าย...ทำไมฉันจึงรู้สึกว่าเย็นอย่างนี้นะ ! " ขณะที่อลิซร้องอย่างตกใจออกมานั้น เท้าของเธอก็ ลื่นไถล และก็ " ตูม " อลิซตกลงไปลอยคออยู่ในน้ำเค็มเสียแล้ว แวบแรกนั้นเธอคิดว่าตัวเองตก ลงไปในทะเล แต่ไม่นาน
อลิซก็นึกออกว่า ตัวเอง กำลังลอยคออยู่ในทะเลน้ำตาของเธอเองที่ไหล ออกมา
อย่างกะเผ่าเต่าเมื่อสักครู่ นี้เสียแล้ว...
" ฉันไม่น่าร้องไห้เยอะเลย " อลิซพูดขณะที่พยายามว่าย น้ำเข้าหาฝั่ง "ตอนนี้เลยมาถูกลงโทษให้จมน้ำตาตัวเอง ประหลาดดีแท้เลย " แล้วทันใดนั้นอลิซก็ ได้ยินเสียงพุ้ยน้ำดังอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เธอจึงพยายามแหวกว่ายไปใกล้ ๆ เพื่อดูว่า อะไรเป็นต้นเสียง แต่เพียงครู่เดียวอลิซก็เห็นว่า ต้นเสียงคือหนูตัวหนึ่งที่ตกน้ำอยู่ เหมือนเธอ " ถ้าเข้าไปคุยกับหนูตัวนั้น" อลิซคิด " มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้าเกิด ว่ามันจะพูดภาษาคนไม่ได้ แต่ที่นี่อะไร ๆ ก็ดูเพี้ยนกันไปหมดจนฉันไม่อยากหวัง อะไรทั้งนั้น แต่เอาเถอะคงไม่เสียหายหรอกนะถ้าจะลองดูน่ะ " ว่าแล้วอลิซ ก็พูด ขึ้นว่า
" หนูจ๊ะ เธอรู้ทางที่จะออกไปจากทะเลนี่หรือเปล่าล่ะ ฉันว่ายน้ำจนหมดแรง แล้วจ๊ะ หนู จ๋า " หนูตัวนั้น
หันมามองอลิซด้วยท่าทางสงสัย และถ้าไม่ผิดเธอเห็น มันขยิบตาเล็ก ๆ ข้างหนึ่งให้ แต่มันไม่ยอมพูดอะไร
" มันคงไม่รู้ภาษาอังกฤษแน่เลย " อลิซคิด " แย่จังบางทีอาจจะเป็นหนูที่มาจากประเทศฝรั่งเศสหรือปล่าวนะ
..ว้า " แล้วอลิซก็พูดใหม่เป็นภาษาฝรั่งเศสซึ่งก็เป็นคำเดียว ที่เธอรู้จักและนึกขึ้นมาได้ตอนนั้น ว่า
" อู เอ มา ชาต " (ซึ่งบังเอิญมันแปลว่าแมวเสียด้วย ) หนูตัวนั้น พอได้ยินก็ตะเกียก ตะกายว่ายน้ำหนีอย่างสุดแรงเกิดจนน้ำในทะเลนั้นแตกกระจายเลยทีเดียว " โอ๊ะ...โอ๋ ขอโทษทีจ๊ะ " อลิซละล่ำละลักพูดออกมาเพราะกลัวว่าเจ้าหนูน้อยตัวนั้น จะโกรธ " ฉัน ลืมเสียสนิทว่าเธอไม่ชอบแมว "
"ไม่ชอบแมว.... ! " หนู พูดเสียงสั่น ๆ อย่างสยองใจเป็นที่สุด " เธอจะชอบแมวไหมล่ะ ถ้าเธอเป็นหนูน่ะ " พูดต่อว่าเสร็จแล้วเจ้าหนูตัวนั้นก็ทำทีเป็นจะว่ายหนีอีกแล้ว อลิซเมื่อเห็นดังนั้นก็ร้องตาม หลังมันไปอีกว่า
" อ้าว...ก็พูดได้นี่ แต่หนูจ๋ากลับมาเถิดนะฉันจะไม่พูดคำว่า แมวอีก แล้ว ถ้าเธอไม่ชอบ " พอได้ยินดังนั้นหนูก็หยุดแล้วว่ายกลับมาพูดกับอลิซว่า " ก็ดี แต่ตอนนี้เราไปขึ้นฝั่งกันดีกว่าเพราะรู้สึกว่าจะหนาว ๆ แล้วว่าไหม?" ซึ่งตอนนั้นก็เป็นการ สมควรอย่างยิ่งที่จะรีบขึ้นฝั่งเสียด้วย เนื่องจาก ระดับน้ำในทะเลเริ่มสูงขึ้น เพราะพวกนกกับสัตว์อื่น ๆ ที่ตกลงมาเหมือนกันกับอลิซมีทั้งเป็ด นกโดโด้ นกแก้ว นกอินทรีเล็ก แล้วก็สัตว์แปลก ๆ อีกหลายตัว อลิซเป็นผู้ว่ายนำไป แล้วสัตว์ทั้งหมด ก็พากันว่ายเข้าไปหาฝั่ง......
ตอน..." เกมเพื่อทำให้ตัวแห้งของนกโดโด้"
ทั้งหมดที่มาขึ้นฝั่งด้วยกันนั้น แต่ละตัวล้วนแต่เปียกโชก หงุดหงิด เพราะไม่ สบายเนื้อสบายตัว แล้วก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำถามข้อแรกก็คือ ทำยังไงตัวถึง จะแห้งได้ พวกสัตว์ปรึกษากันในเรื่องนี้ เพียงไม่กี่นาทีต่อมา อลิซก็ไม่รู้สึกแปลกใจ อะไรเลยที่ตัวเองพูดคุยกับ สัตว์ทั้งหลายได้อย่างคุ้นเคย ราวกับว่ารู้จักกันมานาน แสนนานนักหนา แล้วนกโดโด้ซึ่งดูเหมือนว่า จะเป็นผู้ที่มีสิทธิ์มีเสียงสูงสุดใน บรรดาสัตว์ทุกตัวก็ประกาศขึ้นว่า
" ยืนจับมือกันให้เป็นวงกลมให้หมด แล้วฟังฉันให้ดี ! ฉันจะให้ทุกคนตัวแห้งในอีกเดี๋ยวเดียวนี่แหละ " พวกสัตว์พากันยืนขึ้นทันที โดยยืน จับ มือกันเป็นวงกลมรวมทั้งนกโดโด้ด้วย
" อะแฮ่ม ! " เสียงนกโดโด้กระแอมราวกับจะกล่าว เรื่องสำคัญ " วิธีการที่ดีที่สุดในการที่จะทำให้เราตัวแห้ง คือการเล่นเกมเพื่อทำให้ตัวแห้ง"
" เกมเพื่อทำให้ตัวแห้ง... เป็นยังไงเหรอ " อลิซถามขึ้น "อย่าถามเลย " นกโดโด้ตอบ
" คำตอบที่ดีที่สุดคือการลงมือทำ ! " แรกเริ่มเลยนั้น นกโดโด้ก็ขีดเส้นสนามเหมือน จะเป็นวงกลม แล้วทั้งหมดก็ยืนเรียงกันไปตามเส้น " หนึ่ง สอง สาม...วิ่ง " สัตว์ทั้งหลาย เพียงแต่เริ่มวิ่งกันตาม ถนัดและก็หยุดวิ่งกันตามใจก็เป็นอันบอกไม่ได้ว่าเกมนี้จะสิ้นสุด ลงเมื่อไหร่ แต่พอวิ่งกันมาได้ราว ๆ ครึ่งชั่วโมง และตัวเริ่มแห้งกัน แล้ว จู่ ๆ นกโดโด้ ก็ร้องออกมาดัง ๆ ว่า " จบเกมแล้ว ! " พวกสัตว์ต่าง ๆ พากันทยอยกันกลับออก ไปทีละตัว อลิซผู้น่าสงสารเริ่มร้องไห้อีกครั้ง คราวนี้เธอรู้สึกเศร้าและเดียวดายอย่าง เหลือเกิน แต่สักพักอลิซก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแป๊ะๆดังมา ไกล ๆ เธอรีบเงยหน้าขึ้นมอง ไปที่ต้นเสียงทันที ภาพที่ปรากฏเป็นกระต่ายขาวตัวนั้นนั่นเอง มันเดินกลับไปกลับมาช้า ๆ พร้อมกับมองไปรอบ ๆ ตัวด้วยท่าทางวิตกกังวล เหมือนมันได้ทำอะไรหายไป
อลิซได้ยินเสียง มันพูดงึมงำกับ ตัวเองว่า
" ฉันไปทำมันหล่นหายที่ไหนน้า "
ทันใดนั้นอลิซก็นึกออกว่า มันคงกำลังหาพัดกับถุงมือ ที่ทำจากหนังแพะสีขาวอย่างแน่ ๆ เลย และด้วยความที่ เป็นเด็กดี อลิซจึงเริ่มมองหาของสองอย่าง นั้นด้วย...แต่ว่าหาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ เพียงครู่เดียวกระต่ายก็สังเกตเห็นอลิซซึ่งกำลังเดินหาถุงมือกับพัดอยู่ให้วุ่น มันจึง ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนว่าโกรธเคือง
" นี่ แม่แมรี่แอนน์ มามัวทำอะไรอยู่ นี่น่ะ วิ่งกลับไปที่บ้านเดี๋ยวนี้เลย แล้วหยิบถุงมือกับพัดมาให้ฉัน เร็วเข้า ! "
อลิซ ตกใจมากและก็ด้วยความที่ตกใจมากนั่นเองเลยไม่ทันได้คิดอะไร เธอรีบวิ่งไป ตามทางที่กระต่ายชี้มือโดยอัตโนมัติและไม่ทันได้ อธิบายว่ากระต่ายนั้นเข้าใจผิด
" เขาคงคิดว่าฉันเป็นสาวใช้ที่บ้าน " อลิซพูดกับตัวเองขณะที่วิ่ง " เขาจะแปลกใจ ขนาดไหนนะถ้ารู้ว่าจริง ๆ แล้วฉันเป็นใคร แต่ว่าฉันควรเอาพัดกับถุงมือมาให้เขา เร็ว ๆดี กว่า ถ้าหาได้นะ " สักครู่อลิซก็มองเห็นบ้านเล็ก ๆน่ารักหลังหนึ่ง อลิซรีบเข้าไปในบ้านนั้นโดยไม่ได้เคาะประตูให้เสียเวลา ถึงตอนนี้อลิซเข้ามาอยู่ใน ห้องเล็ก ๆ ที่เป็นระเบียบ มีโต๊ะวางอยู่ที่ตรงข้างหน้าต่าง บนโต๊ะตัวนั้นไม่มีถุงมือ และพัด แต่มีขวดเล็ก ๆ ใบหนึ่งตั้งอยู่ คราวนี้ไม่มีตัวหนังสือที่ขวดว่า " ดื่มฉันสิ " แต่อลิซก็เปิด ฝาจุกแล้วยกปากขวดขึ้นเตรียมจ่อที่ริมฝีปาก " ฉันรู้ว่าจะต้องมีเรื่อง น่าสนุกอีกแน่ ๆ " เธอพูดกับตัวเอง " อยากดูซิว่าน้ำในขวดนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้า มันสามารถทำให้ฉันตัวใหญ่เหมือนเดิมเท่าเดิมได้ก็คงจะ ดี ชักเบื่อเป็นคนตัวเล็ก ๆ แบบนี้แล้ว.." แล้วก็เร็วกว่าที่อลิซคาดไว้เยอะ เพราะเมื่อดื่มไปได้ไม่ทันถึงครึ่งขวด อลิซก็รู้สึกว่าหัวของเธอจะชนเพดานห้องเสียแล้ว เลยจำเป็นต้อง ก้มหัวลงมาก่อน ที่จะคอหักเอา เธอรีบวางขวดไว้ที่เดิม พลางพูดกับตัวเองว่า
" แค่นี้คงพอแล้วหละนะ หวังว่าคงไม่ตัวใหญ่ไปกว่านี้อีก แค่นี้ก็จะออกทางประตูไม่ได้เสียแล้ว ไม่น่าดื่มเข้าไป มากอย่างนี้เลย เรา...เอ้อ " แต่อนิจจา ! กว่าจะคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว อลิซยังคงตัวใหญ่ ขึ้นไปเรื่อย ๆ เพียงเดี๋ยวเดียว เธอก็ต้องคุกเข่าอยู่กับพื้น และนาทีต่อมาห้องนี้ก็เล็ก ไปสำหรับการนั่งคุกเข่าเสียแล้ว....
" โอ้ย..แย่แล้ว ฉันจะเป็นยังไงต่อไปนี่ " เคราะห์ยังดีที่ขวดมหัศจรรย์ได้ออกฤทธิ์ ของมันเต็มที่แล้ว ตัวของอลิซคงจะไม่ใหญ่ไปมากกว่านี้ แต่เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ ลำบากเหลือเกิน เพราะดูเหมือนว่า อลิซจะหมดโอกาสที่จะออกไปจากบ้านนี้เสียแล้ว.... และไม่กี่นาทีต่อมาอลิซก็ได้ยินเสียงพูดอยู่ที่ข้างนอก" เราจะต้องเผาบ้านนี้ซะ " ใช่แล้ว มันเป็นเสียงของเจ้ากระต่ายที่ กำลังพูดและยืนบงการพวกสัตว์ต่าง ๆ อยู่ที่ตรงหน้าบ้าน อลิซตกใจมากจึงตะโกนออกมาจนสุดเสียง เลยทีเดียวว่า
" อย่าทำบ้า ๆ อย่างนั้นนะ ! " เสียต่าง ๆ เงียบงันไปในทันที อลิซนึกในใจว่า " ทีนี้พวก เขาจะทำยังไงกันต่อนะ นี่ถ้า มีความคิดกันสักหน่อย ก็น่าจะคิดได้ว่าควรรื้อหลังคาออกซะ" แต่ราว ๆ หนึ่งหรือสอง นาทีหลังจากนั้น พวกข้างนอกก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง อลิซได้ยินเสียงกระต่ายพูดขึ้น อีกครั้งว่า " ตอนนี้เห็นว่าจะสักคันรถหนึ่งเห็นจะพอ "
" คันรถหนึ่ง...อะไรกันนะ ! " อลิซ คิด แต่เธอ ก็ไม่ต้องสงสัยอยู่นานหรอก เพราะครู่ต่อมากรวดกับหินเม็ดเล็ก ๆก็ถูก กระหน่ำขว้างมาที่หน้าต่าง บางเม็ดก็ขว้างมาโดนหน้าของเธอด้วย " ฉันจะต้องหยุด พวกเขาให้ได้ " อลิซนึกโมโหก่อนที่จะตะโกนออก ไปดัง ๆ ว่า " หยุดขว้างได้แล้วนะ ! " คำพูดนี้ ดูเหมือนจะได้ผลเพราะมันทำให้เกิดความเงียบงันขึ้น มาอีกครั้ง...แล้วจากนั้น อลิซก็ต้องแปลกใจมากขึ้นไปอีก เมื่อเธอสังเกตเห็นว่าเม็ดกรวดเม็ดหินทั้งหลาย กลับกลายมาเป็นขนมคุ๊กกี้หล่นอยู่ที่บนพื้น แล้วทันใดนั้นเธอก็ได้ความคิดเด็ด ๆ ขึ้นมาอย่างหนึ่ง
" ถ้า ฉันจะกินขนมคุ๊กกี้นี่สักชิ้นเข้าไป ตัวของฉันจะต้องมีอะไรเปลี่ยน อีกแน่ ๆ เลย แล้วในเมื่อมันไม่มีทาง ทำให้ฉันตัวใหญ่กว่านี้ได้อีก ก็คงมีแต่เล็กลงล่ะนะ.. ฉันว่า " ดังนั้นอลิซจึงกินขนมคุ๊กกี้ไปชิ้นหนึ่ง และ ก็ให้เป็นดีใจยิ่งนักที่ตัวของเธอเริ่มหด เล็กลงมาทันที เมื่อตัวของเธอเล็กพอที่จะออกทางประตูได้ อลิซ ก็รีบวิ่งออกไปจากนอก บ้านทันที ฝูงสัตว์ต่าง ๆ ที่อยู่ที่ตรงหน้าบ้าน เมื่อมันมองมาเห็นอลิซเข้าทั้งหมดก็พากัน กรูมาที่อลิซทันที แต่อลิซ ก็รีบวิ่งหนีไปอย่างที่เรียกว่าสุดชีวิต และสุดท้ายเธอก็หนีมา จากที่นั่นได้ เมื่อเธอวิ่งมาถึงที่ตรงป่ารกแห่ง หนึ่ง " สิ่งแรกที่ฉันต้องทำ " อลิซพูดกับ ตัวเองขณะเดินเตร่อยู่ในป่า " คือทำให้ร่างกายของฉันเป็นขนาดเดิมให้ได้ และอย่างที่ สองก็คือ หาทางเข้าไปในสวนที่สวยงามนั่น นี่ล่ะแผนที่ยอดที่สุด "
ขณะที่ มองหาทางเรื่อยเปื่อยไปตามต้นไม้นั่นเอง อลิซก็ได้ยินเสียงเห่ากรรโชก ดังมาจากเหนือศรีษะของตัวเอง เธอรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที มันเป็นสุนัขตัว มหึมาตัวหนึ่งมันยืดเล็บเท้าข้าง หนึ่งออกมาพยายามจะแตะ ให้ถูกตัวของเธอพร้อมทั้งเห่าไปด้วย " น่ากลัวจัง " เธอพยายามผิวปากให้มัน แต่เธอก็กลัวเหลือเกินว่า มันอาจจะหิว ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่มันอาจจะกินเธอซะใครจะไปรู้ได้ใช่ไหมล่ะ อลิซแทบ จะไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เธอเอื้อมไปหยิบกิ่งไม้อันหนึ่งมาได้ก็ขว้างไปข้างหน้าจนสุดแรง ทัน ใดนั้นเจ้าสุนัขตัวนั้นก็กระโดดตามไม้ไปจนตัวลอย อลิซจึงได้จังหวะรีบหลบวูบเข้าไป ที่หลังพุ่มหนาม และเธอเห็นว่าเป็นโอกาสอันงามที่จะหนี เธอเริ่มวิ่งทันที วิ่งไปข้างหน้า จนกระทั่งเริ่มเหนื่อยจนกระทั่ง เสียงเห่าของเจ้าสุนัขตัวนั้นจางหายไปแล้ว
" ที่จริงมัน ก็น่ารักเอยู่เหมือนกันนะ..แล้วที่สำคัญมันก็หลอก ง่ายเสียด้วยสิ.." อลิซพูดทั้งหัวเราะ ขณะที่ยืนพักเหนื่อยพิงต้นไม้ต้นหนึ่ง พร้อมกับเด็ดเอาใบของมันมา พัดแก้ร้อน
" ตอนนี้ ฉันจะต้องหาทางทำให้ตัวใหญ่ขึ้นเสียก่อนอื่นใด เดี๋ยวก่อนนะ...แล้วจะทำยังไงดีล่ะ ก็น่าจะ ต้องกินหรือดื่มอะไรสักอย่างนั่นแหละ แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า...แล้วอะไรล่ะ " อลิซพยายามมองไป ที่รอบ ๆ ตัวของเธอ และได้เห็นว่ามีหนอนผีเสื้อสีเขียวตัวใหญ่ กำลังนั่งพับแขน อยู่บนดอกเห็ด มันกำลังสูบกล้องอันยาว และไม่ได้สนใจอลิซและ สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเลยแม้แต่น้อย
ตอน..." คำแนะนำจากหนอนผีเสื้อ"
หนอนผีเสื้อกับอลิซมองสบตากันอยู่เงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดมันก็เอากล้องออกจากปาก แล้วเอ่ยทัก อลิซด้วยเสียงเนือย ๆเหมือนคนง่วงนอน " เธอเป็นใครกัน " หนอนผีเสื้อถาม อลิซจึงตอบออกไปอย่างขลาด ๆ ว่า
" เออ ฉัน...ตอนนี้ฉัน บอกไม่ถูกค่ะคุณหนอนผีเสื้อ... เพราะตอนนี้ฉันคิดว่าฉันไม่ใช่ตัวเองเลย เห็นไหมคะ "
" ฉันไม่เห็น " หนอนผีเสื้อตอบ แล้วย้อนไปสูบกล้องนิ่งเงียบ แล้วในที่สุดมันก็ปล่อยแขนลงอีกครั้งเอากล้องยาออก จากปากแล้วพูดอีกว่า" เธอคิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปงั้นรึ "
" ฉันคิดว่าอย่างนั้นค่ะ " อลิซตอบ
" ฉันจำ อะไร ๆไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน แล้วตัวฉันก็ใหญ่บ้างเล็กบ้างไม่หยุดเลย "
" เธออยากตัวใหญ่เท่าไหนรึ" หนอนผีเสื้อถาม " อ๋อ ความจริง ฉันไม่ได้เจาะจง เรื่องขนาดหรอกค่ะ เพียงแต่... คนเราไม่มีใครอยากเปลี่ยน ขนาดของตัวเองบ่อย ๆ จริงไหมคะ"
" ฉันไม่รู้ว่าจริงไหม " หนอนผีเสื้อตอบ อลิซจึงไม่ยอมพูดอะไรอีก เธอไม่เคยถูกใครพูดแบบขัดคออย่างนี้มา ก่อนในชีวิตจึงเริ่มจะรู้สึกโกรธขึ้นมานิด ๆ
" ตอนนี้เธอพอใจ ขนาดที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือยังล่ะ " หนอนผีเสื้อถามขึ้นมาอีก
" เอ้อ.. ฉันอยากจะใหญ่ขึ้นอีกนิดค่ะ ถ้าคุณ ไม่ว่าอะไรนะคะ " อลิซตอบ
" การสูงแค่สามนิ้วนี่มันน่าเศร้ามากเลยนะคะ "
" เป็นความสูงที่เหมาะดีออก" หนอนผีเสื้อพูดด้วยน้ำเสียงโกรธนิด ๆ พร้อมกับยืดตัวตรงขณะที่พูด ( ตัวมันเองสูงสามนิ้วพอดี ) " แต่ฉัน ไม่ชินนี่คะ " อลิซพยายามทำเสียงอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา " ต่อไปเธอก็ ชินเองแหละ " ประมาณนาทีหรือสองนาทีหลังจากนั้นหนอนผีเสื้อ ก็เอากล้องออกจากปากหาว หวอด ๆ สะบัดตัว แล้วก็ลงมาจากดอกเห็ด คลานหายไปในกอหญ้า แต่ขณะที่คลาน นั้นมันก็พูดออกมา ว่า
" ด้านหนึ่งจะทำให้เธอสูงขึ้น อีกด้านหนึ่งจะทำให้เธอเตี้ยลง "
" ด้านหนึ่งของอะไรล่ะ ด้านหนึ่งของ อะไร ! " อลิซคิดในใจ " ของดอกเห็ด " หนอนผี เสื้อพูดราวกับมันได้ยินเธอถามออกไปจริง ๆ แต่เพียง เดี๋ยวเดียวมันก็คลานลับสายตาไป อลิซจ้องมองเห็ดอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่พักหนึ่ง พยายามดูว่าส่วนไหน คือด้านสองด้านที่ว่า และเนื่องจากเห็ดนั้นมีรูปร่างกลมไร้เหลี่ยมหรือมุมใด ๆ อลิซคิดว่าปัญหานี้ช่างตอบ ยากเหลือเกิน
แต่ในที่สุดอลิซก็ยืดแขนสองข้างออกไปโอบรอบเห็ดไว้แล้วบิขอบสองข้าง ด้วยมือแต่ละข้าง " ทีนี้ข้างไหนเป็นข้างไหนล่ะ "
อลิซพูดกับตัวเอง แล้วลอง กินเห็ดในมือขวาไปนิดหนึ่งเพื่อทดลองดูผล ครู่ต่อมาเธอรู้สึกว่าถูกกระแทก อย่างแรงตรงใต้คาง ปรากฏว่าคางของเธอกระแทกเข้ากับเท้าของตัวเอง ! อลิซตกใจกับความเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันครั้งนี้จนทำอะไรไม่ถูก แต่เธอ รู้สึกว่าจะรอช้าไม่ได้เสีย แล้ว เพราะตัวของเธอกำลังหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น อลิซจึงกินเห็ดอีกข้างหนึ่งทันที คางของเธอ กดแน่นอยู่บนเท้าจนแทบ จะอ้าปากออกไม่ได้ กระนั้นอลิซก็ทำสำเร็จในที่สุด เธอกลืนเห็ดข้างซ้ายลงไป จนได้ " เอาละ หัวของฉันโผล่ออกมาแล้ว " อลิซพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ ซึ่งกลับ แปลเปลี่ยนเป็นความตื่น ตระหนกในวินาทีต่อมา เมื่อเธอได้พบว่าเธอมอง ไหล่ของตัวเองไม่เห็น และเมื่อเธอก้มลงมองตัวเอง สิ่งเดียวที่มองเห็นคือลำ คอยาวยืด ดูเหมือนมันจะยืดขึ้นราวกับปล่องไฟโผล่ทะลุขึ้นมากลางผืนใบไม้ ที่เห็นอยู่ และดูเหมือนว่าเธอจะไม่สามารถที่จะยกมือขึ้นมา ถึงศรีษะได้ อลิซพยายามที่จะก้มหัวลงไปหามือ แล้วพลันก็มีเสียงซู่ ๆดังขึ้น นกพิราบตัวใหญ่บินพุ่งชนหน้าเธอ และกำลังใช้ ปีกของมันตีเธออย่างแรง
" เจ้างูร้าย ! " นกพิราบร้องตะโกน " ฉันไม่ใช่งูนะ " อลิซตอบอย่างเคือง ๆ "ออกไปนะ ฉันขอย้ำว่าเจ้าคืองู "
นกพิราบพูดต่อไปอีก " แค่ฉันฟักไข่ก็ยาก เย็นแสนเข็นอยู่แล้ว นี่ยัง ต้องเฝ้าระวังงูอย่างพวกเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืนอีก ให้ตายสิ นี่สามอาทิตย์มาแล้วนะที่ฉันยังไม่ได้ หลับเลยสักงีบ ! " นกพิราบครวญ คราง
" ฉันเสียใจด้วยจ๊ะ แต่ว่าฉันไม่ใช่งูหรอกนะ จริง ๆแล้วฉันเป็น เด็กผู้หญิงที่ น่าสงสารคนหนึ่ง...ฉันคิดว่านะ " อลิซพยายามอธิบาย " เรอะ...งั้นก็ไปไกล ๆ เลย " เสียงตอบของนกพิราบดูเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวพลางบินหนีไปที่รังไข่ของมัน อลิซก้มหัวลงให้ต้นไม้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ว่าคอของเธอคอยแต่จะพันกับกิ่งไม้ อยู่เรื่อย สักพักหนึ่งเธอจึงลงมือกินเห็ดที่อยู่ในมืออย่างระมัดระวัง กัดชิ้นหนึ่ง แล้วไปกัดอีกชิ้นหนึ่ง บางครั้งตัวเธอก็ยืดขึ้นบางครั้งก็หดลง จนกระทั่งมาอยู่ใน ขนาดปกติได้ในที่สุด "เอาหละกว่าจะกลับมาเป็นปกติได้นี่ มันชั่งวุ่นวายเสียจริง ๆ แต่ว่าไอ้การเปลี่ยนไปเปลี่ยนมานี่มันน่าทึ่ง เสียจริง ๆ ฉันเดาไม่ออกเลยนะเนี่ย ว่าเดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนไปยังไงอีก แต่ยังไงก็ตามเถอะ..ตอนนี้ฉันกลับ มาตัวเท่าเดิม แล้วนี่ ขั้นต่อไปก็คือหาทางเข้าไปในสวนที่สวยงามนั่นให้ได้...แล้วจะเข้าไปได้ยังไง น้า... สงสัยจัง " พูดยังไม่ทันจบอลิซก็เกือบสะดุ้ง
ตอน..." คำแนะนำของแมวเชสเชอร์ "
เมื่อเหลือบไปเห็นแมวเชสเชอร์ ( เขาว่ากันว่ามันเป็นแมวเจ้าเล่ห์ที่ยิ้มได้ ) นั่งอยู่ บนคาคบไม้ไม่ห่างออกไปมากนัก เจ้าแมวเพียงแค่ยิ้มเมื่อเห็นอลิซ เธอรู้สึกว่า มันเป็นแมวนิสัยดี แต่เนื่องจากเล็บเท้าของมันยาวมาก เขี้ยวก็ดูเหมือนจะยาว มากด้วย เธอจึงคิดว่าควรจะปฏิบัติกับมัน ด้วยท่าทางที่เคารพสักหน่อย
" คุณเหมียวเชสเชอร์จ๊ะ " อลิซเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาเพราะเดาไม่ถูกว่ามันจะ ชอบชื่อนี้หรือเปล่า แต่มันก็เพียงแต่ฉีกยิ้มกว้างขึ้นมาอีกนิดหน่อย เอาน่า..ดู ท่าทางมันจะเป็นแมวที่อารมณ์ดีอยู่หรอก แล้วจึงพูดต่อว่า
" ช่วยบอกหน่อยสิ ว่าจากตรงนี้ฉันควรจะไปทางไหนดี"
" เรื่อง มันขึ้นอยู่ที่ว่า เธออยากจะไปไหนน่ะสิ " แมวเชสเชอร์ตอบ " ฉันไม่เลือกว่าที่ไหนหรอก...ขอแค่ฉันได้ไป ที่ไหนสักแห่ง..." อลิซตอบ " เรื่องนั้นสบายมาก ถ้าเธอเดินทนสักหน่อย " แมวตอบ อลิซรู้สึกว่าคำพูด ของมันไม่อาจปฏิเสธได้ เธอจึงลองถามเรื่องอื่น " คนที่อยู่แถว ๆนี้เป็นใครกันบ้างจ๊ะ "
" ทางนั้น...." เจ้าแมวพูดพลางยกอุ้งเท้าขวาขึ้นแกว่งไปมา " มีคนขายหมวก ส่วนอีกทาง..." มันยกอุ้งเท้าซ้ายขึ้นแกว่ง บ้าง " มีกระต่ายมีนาคมอยู่ เธออยากไปหาใครก็ด้าย บ้าเหมือนกันหมดนั่นแหละ ! "
"แต่ฉันไม่อยาก เจอคนบ้านี่ " อลิซทวง " โอ้ย ทำไงได้ ล่ะเธอ คนแถวนี้บ้ากันทั้งนั้น ฉันก็บ้า เธอก็บ้า "
แมวตอบ " เธอ รู้ได้ยังไงว่าฉันบ้า " อลิซถาม " เธอต้องบ้าอยู่แล้ว ไม่งั้นเธอก็ไม่มาที่นี่หรอก " อลิซคิดว่านั่นเป็นเหตุผล ที่ไม่เข้าท่าเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ยังถามต่อไป " แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าเธอบ้า "
" ข้อแรกคือหมาไม่ได้บ้า เธอยอมรับข้อนี้ไหม " แมวถามกลับ " คงใช่มั้ง " อลิซว่า " เอาละ ทีนี้ เวลาหมาโกรธมันจะคำรามใช่ไหม แล้วก็แกว่งหางเวลาชอบใจ ส่วนฉัน คำรามเวลาชอบใจ แล้วแกว่งหางเวลาฉันโกรธ ก็แสดงว่าฉันบ้า น่ะซิ เข้าใจหรือยัง " แมวอธิบาย " เขาเรียกว่าครางตะหาก ไม่ใช่คำราม " อลิซแย้ง
" เธอจะยังไงก็เรื่อง ของเธอ เปลี่ยนเรื่องดีกว่าวันนี้เธอจะไปเล่นตีบอลลอดห่วงกับพระราชินีหรือเปล่าล่ะ " แมวถาม " มีด้วย หรือ ฉันอยากเล่นมากเลย แต่ไม่เห็นมีใครชวนสักคน " อลิซตอบ
" ไว้เจอกันที่นั่นแล้วกัน " แมวพูดแล้ว หายวับไปกับตา แต่อลิซไม่ได้แปลกใจอะไร เท่าไหร่นัก เพราะเธอดูจะคุ้น ๆ กับเรื่องที่แปลกประหลาด ทั้งหลายเสียแล้ว สักครู่ ใหญ่อลิซก็ตัดสินใจที่จะเดินไปในทิศที่เจ้าแมวบอกว่ากระต่ายมีนาคมอาศัยอยู่ "กระต่ายมีนาคมดูจะน่าสนใจที่สุด ตอนนี้เป็นเดือนพฤษภา คิดว่ามันคงจะยังไม่บ้าน้า อย่างน้อยก็ไม่บ้า เท่าเดือนมีนาล่ะ " ขณะพูดคำนี้เธอก็เงยหน้าขึ้น แล้วก็พบว่า เจ้าแมวเชสเชอร์มาปรากฏอยู่บนกิ่งไม้เหนือ ศรีษะของเธออีกครั้ง " เมื่อกี้เธอพูดว่า เดือนนี้มันเดือนพฤษภาเหรอ " มันถาม " ใช่ฉันพูดแน่ ๆ แล้วก็... เธออย่าไป ๆ มา ๆ ปุบปับอย่างนี้สิ เวียนหัวไปหมดแล้ว " อลิซพูด " ก็ได้ " เจ้าแมวเชสเชอร์ว่า คราวนี้ ตัวมันค่อย ๆ จางหายไป เริ่มจากปลายหาง และสุดท้ายก็คือปากฉีกยิ้มของมัน ซึ่งยัง คงเห็นลอยอยู่สักพัก
หลังจากส่วนอื่น ๆ หายไปหมดแล้ว " อึ้ม...ฉันเคยเห็นแต่แมว ไม่มีรอยยิ้ม " อลิซคิดในใจ " แต่รอยยิ้ม โดยไม่มีแมวนี่สิ ! แปลกดีไม่เคยเห็นอะไร ที่แปลกประหลาดอย่างนี้มาก่อนเลยจริง ๆ ให้ตายสิ "
ตอน..." งานเลี้ยงน้ำชาของคนบ้า"
อลิซเดินมาไม่ไกลนักก็เห็นบ้านของกระต่ายมีนาคม เธอคิดว่าคงจะใช่อย่างแน่ ๆ เพราะที่ปล่องไฟ มีรูปร่างเหมือนหูยาว ๆสองข้าง ส่วนหลังคาก็มุงด้วยขนกระต่าย อลิซเดินเข้าไปยังบ้านหลังนั้นด้วยท่า ทางแบบหวั่น ๆ พลางพูดกับตัวเองว่า " แล้วถ้ามันบ้าอยู่ทุกเดือนฉันจะทำยังไงดีล่ะ จริง ๆ แล้วฉันน่า จะไปหาคนขายหมวก มากกว่านะเนี่ย " ใต้ต้นไม้หน้าบ้านมีโต๊ะตั้งอยู่ กระต่ายมีนาคมกับคนขายหมวก กำลังดื่มน้ำชากันอยู่ มีหนูหริ่งนั่งคั่นระหว่างทั้งสอง มันกำลังหลับสนิททีเดียว กระต่ายมีนาคมกับคนขายหมวกจึงใช้ตัวมันแทนเบาะ โดยวางแขนไว้บนตัวหนู แล้วพูดคุยข้ามหัวมันไปมา " หนูหริ่งต้อง อึดอัดแน่ ๆ เลย " อลิซคิด " แต่ในเมื่อ มันหลับอยู่ มันคงไม่ถือสาอะไรมั้ง " โต๊ะที่ว่าเป็นโต๊ะขนาดใหญ่ แต่ทั้งสามกลับ นั่งเบียดกันอยู่ที่มุมหนึ่ง " นั่งไม่พอ ! นั่งไม่พอ ! " พวกเขาร้องออกมา
เมื่อเห็นอลิซ เดิน เข้ามา " มีที่ว่างเยอะ " อลิซพูดเสียงโกรธ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่มีพนักตัวใหญ่ ทางหัวโต๊ะ " ดื่มไวน์สิ " กระต่ายมีนาคมเอ่ยชวน อลิซมองไปทั่วโต๊ะ ก็ไม่เห็นมีอะไร แม้แต่น้ำชาก็ไม่มี มีแต่ถ้วยกับชามเปล่า ๆ เท่านั้น " ไม่เห็นมีไวน์เลยนี่คะ " เธอเอ่ย ขึ้น" ก็ไม่มีน่ะสิ " กระต่ายตอบเสียงห้วน ๆ " ถ้างั้นคุณก็เสีย มารยาทมากที่ชวนฉัน ดื่มไวน์ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเลย " อลิซรู้สึกโกรธ " เธอก็เสียมารยาทมากที่นั่งลงโดย ไม่มีใครเชิญนะเนี่ย " กระต่ายมีนาคมสวนกลับทันควัน
" ฉันไม่รู้นี่คะว่าเป็นโต๊ะของ คุณ " อลิซชี้แจง " โต๊ะนี่นั่งได้มากกว่าสามคนอยู่แล้ว "
" เธอน่าจะไปตัดผมเสียหน่อยนะ " คนขายหมวกเอ่ยขึ้น เขามองอลิซ ด้วยท่าทางสนอกสนใจมาครู่หนึ่งแล้ว แต่เพิ่งเอ่ยขึ้น เป็นคำแรก " คุณก็ควรจะเลิกพูดติติงเรื่องส่วนตัว ของคนอื่น " อลิซพูดเสียงห้วน
" เป็นการเสียมารยาทมากนะคะ " คนขายหมวกฟังคำพูดนี้ด้วยดวงตา เปิกกว้างแล้ว ไม่ยอมพูดอะไรอีก หนูหริ่งที่ตั้งหน้าตั้งตาหลับอยู่ก็พูดขึ้นทำลายความเงียบทั้ง ๆ ที่ยังหลับ อยู่
" ฉันหายใจตอนหลับ เหมือนกับ ฉันหลับตอนหายใจ จู้ ๆๆๆ"
" เธอเห็นไหมว่าทั้งหมดนี้ไร้สาระ " คนขายหมวกสรุป แล้วทั้งหมด ก็นั่งเงียบกันไปครู่ใหญ่
" วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้วนะ " คนขายหมวกเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เขาหัน มาทางอลิซ แล้วหยิบนาฬิกาขึ้นมาจากกระเป๋า เขาเพ่งมองมันอย่าง ยากลำบาก ก่อนที่ จะเขย่านาฬิกาแล้วยกขึ้นไปชิดหู
อลิซนั่งนึกอยู่สักพัก" วันที่สี่ "อลิซตอบ
" ผิดไปสองวัน ! " คนขายหมวก อย่างโกรธเกรี้ยว " นั่นมันเนยชั้นเยี่ยม เชียวนะ " กระต่ายมีนาคมตอบเสียงอ่อย ๆ
"ก็ใช่ แต่เศษขนมปังคงปนเข้าไปด้วยสิ " คนขายหมวกบ่น ต่อไป
" แกไม่น่าใช้มีดตัดขนมปังเล้ย " กระต่ายมีนาคมฉวยนาฬิกาไปแล้วทำท่าก้ม ลงมองไปที่จานเปล่า ด้วย ท่าทางเสียใจ มันจุ่มนาฬิกาลงไปถ้วยชาที่ไม่มีน้ำชาของมันเอง แล้วมองเวลาอีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจพูด ได้มากกว่าประโยคเดิม " นั่นมันเนยชั้นเยี่ยมเชียวนะ " อลิซมองที่ นาฬิกาเรือนนั้นด้วยความแปลกใจ แล้ว พูดขึ้นว่า
" นาฬิกานี่แปลกดีนะ บอกวันที่ แต่ไม่บอกเวลา "
" ก็ทำไมต้องบอกเวลาด้วย " คนขายหมวกบ่น งึมงำ
" นาฬิกาบ้านเธอบอกปีด้วยหรือเปล่าล่ะ "
"เปล่าหรอกค่ะ" อลิซตอบอย่างร่าเริง
" ก็ปีไม่ได้เปลี่ยน บ่อยไม่ใช่หรือคะ "
" นาฬิกาของฉันก็เหมือนกันนั่นแหละ " คนขายหมวกว่า อลิซรู้สึก ประหลาดใจ เหลือจะกล่าวอะไรได้ เพราะคำพูดของคนขายหมวกแทบจะไม่มีความ หมายอะไรเลย ทั้งที่ใช้ภาษาเดียวกัน และถูกต้องหมดทุกคำ
" ฉันไม่ค่อยเข้าใจอะไร ทุกอย่างที่คุณพูดออกมาเลยค่ะ " อลิซตอบพร้อมทั้ง พยายามใช้น้ำเสียงที่สุภาพที่สุด
" เรามาทายปัญหาปริศนากันเอาไหม? " กระต่ายมีนาคนเอ่ยขึ้น แต่อลิซ กลับถอน หายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
" ฉันคิดว่าพวกคุณน่าจะทำอะไรที่มีประโยชน์มากกว่าจะ มานั่งทาย ปริศนาที่ไม่มีคำตอบ แล้วนั่งทานน้ำชาที่มีแต่ถ้วยเปล่าอย่างนี้นะคะ เสีย เวลาเปล่า ๆฉันว่า " และที่สำคัญ ตอนนี้อลิซไม่สามารถที่จะทนนั่งฟังเรื่องราวและ คำพูดที่ไร้สาระอย่างนี้ได้อีกต่อไป เธอผุดลุกขึ้นด้วย ท่าทางที่นึกรังเกียจแล้วเดินออก จากโต๊ะไปอย่างคนฉุนเฉียว หนูหริ่งยังคงหลับอยู่อย่างเดิม ส่วนคนขาย หมวกกับกระต่าย มีนาคมก็ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจการจากไปของเธอสักนิด แม้ว่าเธอจะมองกลับมาหลาย ต่อหลายครั้ง เพราะอดหวังไม่ได้ว่าจะมีใครสักคนเรียกให้เธอกลับไป ภาพสุดท้ายที่เธอ เห็นนั้น ทั้งคู่กำลัง พยายามจับเอาหนูหริ่งยัดใส่กาน้ำชา " ทำอะไรที่ไร้สาระมาก...แต่ไม่ ว่ายังไงฉันก็จะไม่กลับไปที่นั่นอีก " อลิซพูดขณะเดินไปในป่า " ช่างเป็นงานเลี้ยงน้ำชาที่ ไม่ได้สติที่สุดเท่าที่ฉันเคยไปมาจริง ๆ " พอพูดจบ เธอก็สังเกตเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง มีประตูเปิดเข้าไปข้างในลำต้นของมัน" น่าแปลกมาก ! " อลิซคิด " แต่ วันนี้ดูอะไรๆ ก็แปลกไปหมดนั่นแหละ แต่ฉันว่าฉันน่าจะเข้าไปข้างในนั้นดู" ว่าแล้วเธอก็เดินเข้าไปใน ประตูนั้น อลิซก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงกว้างห้องเดิมอีกครั้ง แล้วก็กำลังยืนอยู่ที่ใกล้ ๆ กับโต๊ะแก้ว สามขา ตัวเดิม " คราวนี้ฉันต้องทำให้ได้ดีกว่าคราวก่อนแน่ " อลิซพูดกับตัวเอง
เธอเอื้อมมือไปหยิบลูกกุญแจทองคำมากำไว้ จากนั้นก็กินเห็ดไปนิดหนึ่ง
( เธอเก็บ เห็ดชิ้นนี้ไว้ในกระเป๋ากระโปรง ) พอตัวของเธอ ได้ขนาดพอเหมาะที่จะเข้าไปในประตู ได้แล้ว อลิซก็ไขบานประตูให้เปิดออก แล้วจึงเดินไปตามทางเล็ก ๆ ที่เห็นนั่น และแล้ว... อลิซก็เข้าไปอยู่ในสวนสวยตระการตานี้ที่เธอหมายมั่นปั้นมือว่าอยากจะมาได้ในที่สุด ตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหมู่ดอกไม้ที่มีสีสันสวยสดใสและน้ำพุที่
แสนจะสดชื่นและเย็นฉ่ำ....
ตอน..." สนามตีบอลลอดห่วงของพระราชินีโพแดง "
ใกล้ทางเข้าสวนมีกุหลาบใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ดอกบนต้นเป็นสีขาว แต่ข้างล่างมีคนสวนสองคนกำลังง่วน อยู่กับการทาสีแดงที่ดอกกุหลาบ สีขาวเหล่านั้น อลิซคิดว่าภาพที่เห็นนี้ช่างประหลาดสิ้นดี เธอเดินเข้าไป ใกล้ ๆ เพื่อจะมองได้ ชัดขึ้น แล้วเธอก็ได้ยินเสียงคนหนึ่งพูดว่า
" ระวังหน่อย เจ้าสอง อย่าให้สีกระเด็นโดน ฉันสิ ! "
" จะให้ทำยังไงล่ะ ก็แกกระแทกโดนศอกฉันก่อนนี่เจ้าสี่ " สองตอบเสียงเศร้า "แกอย่ามาพูดมากชอบโทษคนอื่นเรื่อยดีกว่า เมื่อวานฉันได้ยินพระราชินีตรัสว่า แกสมควรโดนตัดหัวอยู่หยก ๆ ! " สี่ เมื่อได้ฟังดังนั้นก็เหวี่ยงแปลงในมือลงมา " เชอะ...ที่นี่หาความยุติธรรมไม่ได้เลย..." ทันใดนั้นพวกเขาก็เหลือบมาเห็น อลิซที่แอบมองอยู่ จึงชะงักกึก พร้อมกับก้มหน้างุด ๆ " ช่วยบอกหน่อยได้ไหมคะว่าทำไมพวกคุณต้องทาสีกุหลาบพวกนี้ด้วยล่ะ " อลิซถามด้วย น้ำเสียงที่ตื่นกลัวเล็กน้อย สี่ไม่พูดอะไรแต่หันไป มองสอง แล้วสองจึงเริ่มพูดด้วยเสียงต่ำ ๆ ออกมาว่า " เพราะอะไรน่ะเรอะ คุณหนู ก็มันมีอยู่ว่าที่ตรงนี้ สมควรที่จะมีดอกกุหลาบสีแดง แต่พวกเรากลับปลูกกุหลาบสีขาวแทน นี่ถ้าพระราชินีทรงทราบแล้วละ ก็ เราสองคนก็จะถูก ตัดหัวอย่างเดียวเท่านั้นเอง ทีนี้พอจะเข้าใจแล้วใช่ไหมคุณหนู ว่าเรากำลังพยายามกัน อย่าง ที่สุดก่อนที่พระองค์จะทรงเสด็จมา เพื่อ..." ถึงตอนนี้ สี่ซึ่งกวาดตามองไปรอบ ๆ บริเวณสวนอยู่ ตลอดเวลาก็ร้องขึ้นว่า " พระราชินี ! พระราชินี ! " แล้วคนสวนทั้งสองก็รีบล้มตัวลงนอนคว่ำลง กับพื้น มีเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้น อลิซมองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เห็นพระราชินี ตอนแรกอลิซเห็น ทหารถือดาบยาวเดินเรียงกันออกมาก่อน ทหารพวกนี้รูปร่างเหมือนคนสวน ทั้งสองคนไม่มีผิดเพี้ยน คือ ตัวเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบราบ มีมือและเท้าโผล่มาจากมุมทั้งสี่ ต่อมาก็เป็นข้าราชสำนักประมาณสิบ คน ประดับประดาด้วยเครื่องเพชรแวววาว หลังจากนั้น ก็เป็นบรรดาเด็ก ๆ เชื้อพระวงศ์ซึ่งมีอยู่ด้วยกันประ มาณสิบคน และต่อมาก็เป็นแขกรับเชิญ ทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพระราชาและพระราชินี หนึ่งในนั้น อลิซจำได้ไม่ผิดว่าเป็นกระต่าย ขาวใส่ถุงมือตัวที่อลิซตามหานั่นเอง แต่มันเดินผ่านไปโดยไม่ได้สังเกตเห็น อลิซ และลำดับสุดท้าย ในขบวนแห่อันยิ่งใหญ่นี้ก็คือ พระราชากับ"พระราชินีโพแดง ! "
เมื่อขบวนแห่ผ่านมาถึงตรงหน้าอลิซ ทั้งขบวนก็หยุดลง แล้วพากันจ้องมาที่เธอ
พระราชินี เขม้นมองเธออย่างเกรี้ยวกราด
" นี่ใครกัน " พระนางหันไปตรัสถาม พวกมหาดเล็ก แต่พวก เขาก็เพียงแต่โน้มตัวคำนับแล้วยิ้มให้พระนาง
" ปัญญาอ่อนที่สุด ! " ตรัสเสร็จ ก็ทรงส่าย พระพักตร์อย่างอดรนทนไม่ไหว ก่อนจะหันมาทางอลิซแล้วตรัสถาม " หนูน้อย เจ้าชื่ออะไร "
" หม่อมฉันชื่ออลิซเพคะ " อลิซตอบอย่างสุภาพยิ่ง
" แล้วเจ้าพวกนั้นมันเป็นใครกัน " พระราชินี ชี้ไปทาง คนสวนสองคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่ที่ใกล้ ๆ ต้นกุหลาบ
" หม่อมฉันจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะเพคะ แล้วอีกอย่าง มันก็ไม่ใช่ธุระอะไรของหม่อมฉันเลย " พระราชินีกริ้วจนหน้าแดงก่ำ หลังจากจ้อง หน้าอลิซอย่างเขม็ง ด้วยท่าทางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พระนางทรงร้องขึ้นเสียงแหลมทีเดียว
" ตัดหัวเธอซะ ! ตัด.... " "เหลวไหล ! " อลิซพูดเสียงดังอย่างมั่นใจ พระราชินีถึงกับทรงอึ้งไปแล้ว ทรงสะบัดพระพักตร์หนีอย่างไม่ ทรงพอพระทัยก่อนที่จะทรงตรัสกับมหาดเล็กว่า " จับพวกมัน พลิกขึ้นมาซิ " มหาดเล็กทำตามรับสั่งอย่าง ระมัดระวัง โดยใช้เท้าเขี่ย " ลุกขึ้น ! "
พระราชินีรับสั่ง เสียงของพระนางทั้งแหลมทั้งดัง คนสวนทั้งสอง จึงรีบยืนขึ้นทันที แล้วทำความเคารพ
" พวกแก มาทำอะไรที่นี่ " พูดไปพลางแล้วพระนางก็หันไปทางต้น กุหลาบ คนสวนทั้งสองตอบด้วยน้ำเสียง ที่อ่อนน้อมเต็มที่ " ขอพระราชินีทรงโปรด คือว่าพวกเรากำลัง..............เอ้อ "
" เข้าใจแล้ว ! " พระราชินีทรง ตรัสขึ้น เพราะระหว่างนั้นพระนางก็สำรวจดูต้นกุหลาบอยู่แล้ว
" เอาไป ตัดหัวทั้งสองคน ! " แล้ว ก่อนที่ขบวนจะเคลื่อนต่อไป พระราชินีก็สั่งให้มหาดเล็กนำมีดดาบอันใหญ่ มาส่งให้กับอลิซ แล้วพูดว่า " พระราชินีทรงมีคำสั่งให้เธอเป็นผู้ทำการตัดหัวเจ้าทั้งสองนั่นเสีย ! "อลิซ รับมีดดาบ มาถือไว้อย่างงวยงงเพราะยังนึกอะไรไม่ออก แล้วตอนนั้นคนสวนผู้โชคร้ายทั้งสองก็วิ่งเข้ามา หาอลิซหมายขอความช่วยเหลือ " พวกคุณจะไม่ถูกตัดหัวอย่างเด็ดขาด " อลิซพูดแล้วก็จับทั้งสองใส่ลงในแจกันใบใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆแถวๆ บริเวณนั้นพร้อมทั้ง ได้เอาสีแดงที่คนสวนนำมาทาสี ดอกกุหลาบพวกนั้นป้ายลงไปที่คมดาบ ก่อนที่จะเดินตามขบวนไปอย่างเงียบ ๆ " หัวมันหลุดจากบ่า ไปรึยัง " พระราชินี ทรงตะโกนถาม " หัวพวกเขาไม่อยู่แล้วเพคะ "
อลิซตอบแล้วยืนเงียบ...." ดีมาก...จะดีขึ้น.. แล้วเจ้าเล่นตีบอลลอดห่วงเป็นไหม " พวกทหาร พากันนิ่งเงียบ แล้วหันมามองทางอลิซกันเป็นตาเดียว จึงเห็นได้ชัดว่าคำถามนี้พระนางทรงหมาย ถึงเธอ " เป็นเพคะ " อลิซตอบ
" งั้นมากับเรา " พระราชินีทรงแค่นเสียงตอบ อลิซจึงเดินเข้าไปในขบวนด้วย ในใจก็อยากรู้เหลือเกินว่า
" เข้าประจำที่ได้ ! " พระราชินีตะโกนเสียงดังราวกับฟ้าผ่า ทุกคนก็เริ่มวิ่งแตกตื่นไปทุกทิศ ทุกทาง บ้างก็สะดุดชนกันจนล้มลุกคลุกคลาน แต่เพียงครู่เดียวก็เข้าประจำ ตำแหน่งได้ อลิซ คิดว่าเธอไม่เคยเห็นสนามตีบอลลอดห่วงที่ไหนประหลาดเท่านี้มาก่อนเลย เพราะสนามนี้ เป็นหลุมเป็นบ่อเต็มไปหมด ลูกบอลที่ใช้เล่นคือตัวเม่นเป็น ๆ ไม้ตีคือนกฟลามิงโกขายาว ส่วนประตูก็ คือทหารที่ทำท่าสะพานโค้ง ความลำบากประการแรกสำหรับอลิซก็คือการจัดการ กับนกฟลามิงโก อลิซอุ้ม ตัวมันขึ้นมาไว้ได้แล้วโดยได้เอาหัวของมันห้อยลงไปที่ข้างล่าง แต่ ทุกครั้งที่มันยืดคอออกมาได้ยาวพอเหมาะและเธอกำลังจะใช้หัวของมันตีเม่น มันกลับบิด คอของมันขึ้นมาแล้วเงยหน้ามองหน้าของอลิซ สีหน้าของมันแสดงถึงความงุนงงซึ่งเมื่อเห็น ตรงนี้ อลิซก็อดที่จะหัวเราะคิกไม่ได้ทุกครั้ง แล้วพอเธอ กดหัวมันลงไปได้ และเริ่มจะตีอีกครั้ง เธอก็เป็นอันต้องโมโหใหญ่ เพราะเจ้าเม่นกลับคลายตัวของมัน ออกมาพร้อมกับคลานหนีไป เท่านั้นยังไม่พอ ไม่ว่าเธอจะอุ้มนกฟลามิงโกไปทางไหนก็เจอแต่ร่องกับคันดิน ส่วนทหารก็เอา แต่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่อื่นอยู่เรื่อย ไม่ช้าอลิซก็สรุปได้ว่า การตีบอลลอดห่วง ครั้งนี้ช่างเป็น เรื่องยากเย็นแสนเข็ญเสียจริง ๆ คนเล่นนั้นเล่าต่างก็ลงมือเล่นโดยไม่มีการรอให้ถึงตาของ ตนเอง เถียงกันไปมาน่าเวียนหัว แล้วยังยื้อแย่งตัวเม่นกันอยู่อย่างนั้น เพียงไม่นานพระราชินีก็ เกิดกริ้ว ใหญ่ พระนางทรงกระทืบเท้าไม่หยุด พร้อมกับตะโกนว่า " เอามันไปตัดหัว ! " หรือไม่ก็ " เอาเธอไป ตัดหัว ! " อยู่ไม่หยุดหย่อน อลิซชักจะเริ่มรู้สึกว่าหายใจไม่ค่อยทั่วท้องเลยจริง ๆ แน่นอนเท่าที่ผ่านมา อลิซยังไม่เคยทำอะไรขัดใจพระราชินีมาก่อนเลยก็จริง แต่เธอก็รู้ดีว่า เหตุการณ์นั้นอาจเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่ ก็ได้ในไม่นาทีใดก็นาทีหนึ่ง
" เมื่อถึงตอนนั้น...ฉันจะทำ ยังไงได้ล่ะ แล้วคนที่นี่ก็ชอบตัดหัวกันเสียเหลือ เกิน อยากรู้นักว่าจะมีใครรอดชีวิตอยู่ได้บ้าง " อลิซคิดด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว และขณะที่อลิซกำลังมองหา ทางหนีทีไล่อยู่นั้น อลิซยังนึกสงสัย อยู่ว่าเธอจะแอบหนีไปโดยไม่มีใครทันสังเกตเห็นได้หรือเปล่าเท่านั้น...
สักครู่พระราชินีก็ทรง เสด็จมาที่ตรงใกล้ ๆ กับที่อลิซยืนอยู่ และทรงตรัสว่า
" เธอมายืนทำอะไรที่นี่ล่ะแม่ หนู เราไป เล่นกันต่อดีกว่า " อลิซพูดอะไรไม่ออกเพราะกำลังคิดที่จะหนีอยู่นั่นเอง แต่ก็เลยจำยอมแล้วเดิน ตามพระราชินีไปตีบอลลอดห่วงต่อ แขกรับเชิญต่าง ๆ ฉวยโอกาสขณะที่พระราชินีไม่อยู่พากัน นั่งพักใต้ ร่มไม้ แต่ทันทีที่เห็นพระราชินีเดินกลับมาต่างก็รีบเล่นกันต่อ พระราชินีเพียงแต่ตรัส เปรย ๆ ว่า ใครขืนชัก ช้าให้ระวังหัวไว้ และตลอดเวลาที่เล่นกันนั้นพระราชินีไม่ได้หยุดทะเลาะ กับผู้เล่นคนอื่นเลย แล้วก็ยังคง ตะโกนว่า " เอาเขาไปตัดหัว " หรือ " เอาหล่อนไปตัดหัว " อยู่ไม่ขาดปากเหมือนเดิม คนที่ถูกสั่งประหารก็ ถูกทหารมาเอาตัวออกไป ทหารพวกนี้ก็เลย ต้องเลิกทำท่าสะพานโค้งชั่วคราว และพอผ่านไปครึ่งชั่วโมง ในสนามก็ไม่มีประตูโค้งเหลือให้ เห็นอยู่อีกต่อไป ผู้เล่นคนอื่นนอกจากพระราชา พระราชินี และอลิซ ล้วนถูกคุมตัวไปเพราะถูก คำสั่งประหารกันจนหมด จากนั้นพระราชินีก็หยุดเดิน หันมายืนหอบหายใจ ฮัก ๆๆๆ
แล้วตรัส ถามอลิซว่า " เธอได้เจอเต่าหัววัวแล้วรึยัง "
" ยังเลยเพคะ หม่อมฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เต่าหัววัวเป็น ยังไง " อลิซตอบตามซื่อ
" ก็เป็นสิ่งที่เอาไว้ทำซุปเต่าหัววัวไงล่ะ "
พระราชินีอธิบาย " หม่อมฉันไม่เคยเห็น แล้วก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยเพคะ " อลิซว่า
" งั้นมานี่ซิ มันใจดีนะ...บางทีมันอาจจะให้คำแนะนำ ที่ดี ๆ กับเธอก็ได้นะ" พระราชินีพูด ขณะที่ทั้งคู่เดินไปด้วยกัน อลิซได้ยินเสียงพระราชา พูดเบา ๆ กับทุกคนโดยไม่เจาะ จงว่า " พวกเจ้าทุกคนได้รับอภัยโทษ "
" ช่างเป็นข่าวดีเสียจริง ๆ " อลิซรำพึงกับตัวเอง เพราะที่ผ่านมา เธอรู้สึกไม่สบายใจกับบรรดาพวกที่พระราชินีสั่งประหาร ไปแม้แต่น้อย...
ไม่ช้าทั้งคู่ก็เดินมาเจอสัตว์ครึ่งสิงห์ครึ่งนกตัวหนึ่งนอนหลับอยู่กลางแดด
"ลุกขึ้นเจ้าขี้เซา" พระราชินีตรัส
"พาแม่หนูนี่ไปหาเต่าหัววัวซิ ฉันต้องกลับไปดูการประหารที่สั่งไปเสียหน่อย" ว่าแล้วก็เดินจากไป โดยปล่อยให้อลิซอยู่ตามลำพังกับสิงห์ครึ่งนก อลิซรู้สึกไม่ค่อยชอบหน้า ของสิงห์ครึ่งนกนี่เท่าไหร่ แต่มาคิดๆดูแล้ว เธอคิดว่าอยู่กับมันน่าจะปลอดภัย สิงห์ครึ่งนกลุกขึ้นเอามือของมันขยี้ตา แล้วมองตามพระราชินีไปจนกระทั่งลับสายตา แล้วก็หัวเราะคิกคัก "ขำจริงจริ๊ง" มันพูดโดยไม่เจาะจงว่าพูดกับตัวเองหรือว่าพูดกับอลิซ "ขำอะไรคะ"
อลิซถาม "อ้าว..ก็พระราชินีน่ะสิ ทรงคิดไปเองทั้งนั้น ไม่มีใครถูกประหาร จริงๆ หรอก รู้เปล่า มานี่ซิ"
"คนที่นี่ชอบพูดว่า" มานี่ซิ" กันเสียจริง" อลิซคิดขณะที่เดินตาม มันไป "เกิดมาฉันยังไม่เคยถูกสั่งให้ทำโน่นทำนี่อย่างนี้เลยนะ ไม่เคยเล้ย" ไม่นานนักทั้งคู่ก็เห็นเต่าหัววัวอยู่ไกล ๆ กำลังนั่งเหงาเศร้าอยู่ที่เชิงผา เมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้น อลิซก็ได้ยินเสียงมันถอนหายใจราวกับคนหัวใจสลาย
"เขาเศร้าเรื่องอะไรคะ" เธอถามสิงห์ครึ่งนก มันจึงตอบด้วยคำพูดเกือบจะเหมือนเดิม " เขาคิดไปเองทั้งนั้น เขาไม่มีเรื่องเศร้าอะไรสักหน่อย รู้เปล่า มาเถอะ " ทั้งคู่เดินต่อไปจนถึงเจ้าเต่าหัววัว ซึ่งเมื่อเห็นว่ามีใครมาหา มันก็กลับเปลี่ยนสีหน้า เป็นยิ้มระรื่น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา"แม่หนูน้อยคนนี้อยากจะเล่าเรื่องการผจญภัยของเธอ ให้นายฟังแน่ะ"สิงห์ครึ่งนกพูด"ก็ได้นะ...ไหนเธอลองเล่าเรื่องทั้งหมดมาซิ " ดังนั้นอลิซจึงเริ่มเล่าเรื่องการผจญภัยของเธอนับจากครั้งแรกที่เจอกระต่ายขาวและจนมาเจอ กับพระราชินี กับสิงห์ครึ่งนก เพื่อหวังว่าบางทีเธออาจจะได้คำแนะนำที่ดีๆบ้าง แต่เต่าหัววัว กลับฟังไปถอนหายใจไปหลายเฮือกใหญ่แล้วได้แต่พูดว่า
"แปลกจริง ๆ แปลกมาก ๆ " อลิซเริ่มจะอารมย์ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่นัก เพราะเต่าหัววัวไม่ได้ให้คำแนะนำ อะไรที่เป็นประโยชน์กับเธอเลยสักอย่างนั่นเอง
และทันใดนั้น...ก็มีเสียงแว่วมาไกล ๆ ว่า " เริ่มพิจารณาคดี ณ บัดนี้ " ทันทีนั้น " มานี่ซิ" สิงห์ครึ่งนกร้องขึ้น พลางฉวยแขนอลิซแล้ววิ่งออกไปโดยไม่รอฟัง คำพูดอะไรและคำแนะนำอะไรของเจ้าเต่าหัววัวอีกต่อไป
"พิจารณาคดีอะไรคะ" อลิซพูดพลางหอบหายใจ แต่สิงห์ครึ่งนกก็เพียงแต่พูดว่า " มาเถอะน่ะ"
แล้วก็ยิ่งวิ่งเร็วขึ้นกว่าเก่าเสียอีก...
ตอน..ใครขโมยขนมพาย
เมื่อทั้งสองไปถึงที่ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นที่พิพากษาก็พบพระราชากับพระราชินีประทับ นั่งอยู่บนบัลลังก์ และมีใครต่อใครออกันอยู่ในนั้นมากมาย ทั้งพวกนกและสัตว์นานาชนิด รวมทั้งไพ่ครบสำรับ มหาดเล็กแจ็ค ยืนอยู่ข้างหน้าเท้าถูกล่ามไว้กับโต๊ะอย่างแน่นหนา และข้างตัวยังมีทหารคุมอยู่ด้วย ข้าง ๆ พระราชินีคือกระต่ายขาวซึ่งในมือถือม้วนแผ่นหนังเอาไว้
ผู้พิพากษาก็คือพระราชา นั่นเอง พระองค์ทรงนั่งเลียท๊อปฟี่อยู่อย่างสบายอารมย์เลยทีเดียว
"เจ้าพนักงานอ่านข้อกล่าวหาได้" พระราชาตรัส พอได้ยินดังนั้นกระต่ายขาวก็เป่าทรัมเป็ตเสียงแปร๋นขึ้นสามครั้ง จากนั้น ก็คลี่แผ่นหนังออกมา แล้วอ่านข้อความดังนี้
" พระราชินีโพแดงทรงทำขนมพายไว้ วันหนึ่ง ในยามหน้าร้อนนั่นไง มหาดเล็กแจ็คแอบขโมยมันไป ขนมพายจึงสูญหายไร้ร่องรอย!"
"เริ่มพิจารณาคำตัดสินได้แล้ว" พระราชาตรัสกับคณะลูกขุน " อย่าเพิ่ง! อย่าเพิ่งพะย่ะค่ะ!" กระต่ายขาวรีบขัดขึ้น " มีขั้นตอน อีกตั้งเยอะแยะ" แต่ไม่มีทีท่าว่าพระราชาจะสนใจฟัง
"เบิกตัวพยานปากแรกซิ" พระราชาตรัสสับทับ กระต่ายขาวจึงเป่าทรัมเป็ตเสียงแหลมสามครั้งแล้วตะโกน
" พยานปากแรก!" พยานปากแรกคือคนทำหมวก เขาเดินเข้ามาโดยถือถ้วยชาไว้ในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้าง ถือขนมปังทาเนย เขาพูดว่า " ฝ่าบาทโปรดอภัยที่กระหม่อมนำของพวกนี้เข้ามาด้วย เพราะตอนที่มีคนไปตามตัวมานั้น กระหม่อมยังดื่มขนมปังกับน้ำชาไม่เสร็จเลยพะย่ะค่ะ" พระราชาจึงตรัสว่า" น่าจะเสร็จได้แล้วนี่ เจ้าเริ่มดื่มตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ" คนขายหมวกหันไปมอง กระต่ายมีนาคมซึ่งเดินตามเข้ามาในศาลด้วย โดยมันเดินคล้องแขนมากับหนูหริ่ง " คิดว่า เป็น...วันที่สิบสี่ เดือนมีนาคมพะย่ะค่ะ" เขาตอบ " วันที่สิบสี่" กระต่ายมีนาคมเอ่ยขึ้น
"น่าจะเป็นวันที่สิบหก มั้ง" หนูหริ่งเอ่ยบ้าง " บันทึกไว้ด้วย"พระราชาตรัสกับลูกขุน คณะลูกขุนก็รีบจด วันที่ทั้งสามลงไปทันที แล้วก็เอาตัวเลขมาบวกกัน แล้วเขียนคำตอบออกมาเป็นชินลิ่ง กับเพ็นนี
ตอนนี้พระราชินีทรงหยิบแว่นตาขึ้นสวม แล้วทรงจ้องตาคนขายหมวกเขม็ง จนเขาหน้าซีดเผือดและเริ่มทำตัวยุกยิกยืนไม่ติดที่" เจ้าลองให้การมาซิ" พระราชาตรัส " แล้วก็ยืนให้นิ่ง ๆไม่งั้นเราจะสั่งตัดหัวเจ้าซะในนี้เลย" คำพูดนี้หาได้เป็นกำลังใจให้ พยานแม้แต่น้อย เขายังคงอยู่ไม่สุขโยกไป-มาอยู่อย่างเดิมพร้อมกับมองไปทางพระราชินี อย่างกังวล แล้วเขาก็เผลอไปกัดเอาถ้วยน้ำชาแทนที่จะกัดขนมปัง...
ถึงตอนนี้อลิซเกิดความรู้สึกประหลาดบางอย่างขึ้นมา ด้วยเธอรู้สึกตัวว่าร่างกายของเธอ เริ่มขยายใหญ่ขึ้นมาอีกแล้ว
" เธออย่าเบียดนักซิ ฉันจะหายใจไม่ออกอยู่แล้วนะ" หนูนาที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ กับเธอเอ่ยขึ้น " ฉันไม่รู้จะทำยังไงนี่"
อลิซพูดเสียงเบา " ตัวฉันกำลัง โตขึ้นเรื่อย ๆ " หนูนาทำตาเขม็งแล้วพูดว่า......." เธอไม่มีสิทธิ์จะมาโตที่นี่หรอกนะ"
อลิซจึงพูด เสียงเข้มว่า" อย่าพูดเหลวไหลน่ะ เธอเองก็ต้องโตเหมือนกันนั่นแหละ"
"ก็ใช่ แต่ฉันไม่ได้โตพรวดพราดเหมือนเธอนี่" หนูนาแย้ง
" แล้วก็ไม่ได้โตแบบตลกๆอย่างเธอด้วย" ว่าแล้ว เขาก็ลุกขึ้นและเดินหนีไปนั่งอีกฝากหนึ่งของศาลด้วยอาการที่เหมือนไม่พอใจ ตลอด เวลานั้น พระราชินีไม่ได้ทรงละสายตาไปจากคนขายหมวกเลยแม้แต่วินาทีเดียว "ให้การมาเร็ว ๆ" พระราชาตรัสซ้ำด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความโมโห
" ไม่งั้นเราจะตัดหัวเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะกลัวหรือไม่ก็ตาม"
"ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นคนยากไร้ และไม่รู้เรื่องอะไรเลยนอกจาก การดื่มน้ำชาอย่างเดียว" คนขายหมวกเริ่มอ้อนวอนด้วย เสียงสั่นเทา " แล้วที่สำคัญกระหม่อมยังไม่ได้ดื่มน้ำชาเลย..เพิ่งได้สัปดาห์เดียวนี่แหละพะย่ะค่ะ" พระราชาทำหน้าสงสัย" สัปดาห์เดียวนี่ของอะไร?" คนขายหมวกได้รีบตอบว่า " มันเริ่มจากน้ำชาพะย่ะค่ะ..."
พระราชาได้ทรงตรัสอย่างเกรียวกราดว่า "เรารู้แล้วว่าเจ้ากำลังดื่มน้ำชาอยู่! คิดว่าเราโง่นักรึไง ถ้าเจ้ารู้แค่นั้นก็ลงไปได้แล้ว เจ้าไปได้เลยเดี๋ยวนี้.." พระราชาตรัสอย่างรวบรัด เพราะเริ่มนึกเบื่อคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยขึ้นมา
คนขายหมวกจึงรีบตะลีตะลานออกไปจากศาลทันที " ตามไปตัดหัวมันข้างนอก" พระราชินีตรัสกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ ทันไปถึงประตู คนขาย หมวกก็หายตัวไปเสียแล้ว
"เบิกพยานปากต่อไป!" พระราชาตรัสเสียงดังก่อนที่จะหันไปตรัส เสียงอ่อนหวานกับพระราชินี
" น้องรัก น้องคงต้องซักค้านพยานปากต่อไปเองแล้วล่ะ หัวพี่ ปวดจนจะระเบิดอยู่แล้ว!" อลิซจ้องกระต่ายขาวขณะที่มันเงอะๆงะ ๆ มองรายชื่อในแผ่นหนัง ด้วยความอยากรู้ว่าพยานปากต่อไปคือใคร
"...เพราะว่าตอนนี้ยังไม่เห็นจะได้หลักฐานอะไร สักเท่าไหร่" เธอพูดกับตัวเอง ลองนึกดูซิว่าเธอจะแปลกใจขนาดไหน เมื่อได้ยินเสียงประกาศ ของกระต่ายขาว ซึ่งประกาศชื่อด้วยเสียงเล็ก ๆ แหลม ๆ ของมันจนสุดเสียงว่า " อลิซ !"
ตอน...คำให้การของอลิซ
"ฉันอยู่นี่ไง !" อลิซร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้นโดยลืมนึกไปว่าตอนนี้เธอตัวใหญ่ขนาดไหน ด้วยรีบร้อนลุกขึ้นนั่นเองชายกระโปรงของเธอจึงไปเกี่ยวเอาคอลูกขุนจนล้มระเนระนาด และล่วงลงไปนอนเค้เก้อยู่ข้างล่าง
" อุ๊ย...ขอโทษจริง ๆ ค่ะ "อลิซอุทานขึ้นอย่างตกใจ สุดขีด แล้วรีบหยิบลูกขุนขึ้นมาวางที่เดิมอย่างเร็ว
" การพิจารณาคดีไม่อาจดำเนินต่อไปได้" พระราชาตรัสด้วยน้ำเสียงจริงจัง " จนกว่าคณะลูกขุนทั้งหมดจะกลับไปอยู่ในคอกใน ลักษณะเดิม...ทั้งหมด" พระองค์ทรงย้ำหนักแน่น พร้อมกับจ้องหน้าอลิซ เธอจึงหันไปมองที่คอกคณะลูกขุน จึงเห็นว่าด้วยอาการรีบ เธอจึงวางจิ้งจกกลับหัวกลับหาง และเจ้าจิ้งจกตัวน้อยกำลังส่ายหางด๊อกแด๊กไปมาอย่างน่าสงสาร เธอจึงรีบยกมันขึ้นแล้ววาง ลงใหม่ให้ถูกต้อง
"เธอรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง" พระราชาตรัสถามอลิซ
" ไม่รู้อะไรเลยเพคะ" อลิซตอบ " ไม่รู้อะไรสักอย่างเลยรึ " พระราชายังทรงซักต่อ
" ไม่รู้อะไรสักอย่างเดียวเพคะ" อลิซ ยังคงตอบเหมือนเดิม " เรื่องนี้สำคัญมาก "พระราชาตรัสพลางหันไปมองทางคณะลูกขุน พวกเขากำลังจะบันทึกข้อความลงไปในกระดาน แต่กระต่ายขาวขัดขึ้นมาเสียก่อน
" พระ ราชาทรงหมายความว่า ไม่สำคัญนั่นเอง " น้ำเสียงของมันเปี่ยมด้วยความนอบน้อม แม้ว่าใบหน้าจะบูดเบี้ยวถมึงทึงในขณะพูดก็ตาม " ใช่แล้ว เราหมายความว่า ไม่สำคัญ" พระราชารีบตรัส แล้วก็ตรัสเบา ๆ กับพระองค์เอง " สำคัญ...ไม่สำคัญ...สำคัญ...ไม่สำคัญ..." ราวกับกำลังลองฟังว่าคำไหนเพราะกว่ากัน ถึงตอนนี้พวกลูกขุนทั้งหลายพากันหัวเราะเสียงดัง พระราชาซึ่งกำลังจดจ่อกับการเขียนลงในสมุดบันทึกของพระองค์ก็ทรงร้องขึ้นว่า
" เงียบหน่อย !" ก่อนจะทรงอ่านข้อความจากสมุด บันทึกออกมาดัง ๆ " กฏข้อสี่สิบสาม ใครสูงเกินหนึ่งไมล์ให้ออกไปจากศาล" ทุกคนหันมา มองอลิซเป็นตาเดียว " หม่อมฉันไม่ได้สูงเกินหนึ่งไมล์ อลิซพูด " เกิน" พระราชาตรัส "เกือบจะถึงสองไมล์ด้วยซ้ำ"พระราชินีตรัสเสริม " แต่ยังไงหม่อมฉันก็ไม่ไปเพคะ" อลิซตอบ
" อีกอย่าง เรื่องนี้ไม่ได้เป็นกฏประจำ พระองค์ทรงนึกขึ้นมาเมื่อกี้นี้เอง" พระราชาขมวดคิ้ว " นี่เป็นกฏข้อเก่าแก่ที่สุดมนสมุดเชียวนะ" ทรงยืนยัน " ถ้างั้นก็ต้องเป็นกฏข้อที่หนึ่งสิเพคะ" พระราชาพระพักตร์ซีดเผือด แล้วทรงปิดสมุดลงทันควัน " พิจารณาคำตัดสินได้แล้ว" ทรง หันไปตรัสกับคณะลูกขุนเบา ๆ "ไม่ได้ ไม่ได้ " พระราชินีทรงร้องขัดขึ้น "พิพากษาโทษก่อนคำตัดสินไว้ที่หลัง"
" เหลวไหลสิ้นดี...เรื่องจะให้พิพากษาโทษก่อนน่ะ"อลิซพูดเสียงดัง " ระวังปากเจ้าไว้บ้าง" พระราชินีทรงโต้กลับมา พระพักตร์เข้ม " เรื่องอะไรล่ะ"อลิซถาม " เอาตัวไปตัดหัว !" พระราชินีทรงตะโกนสุดเสียง แต่ไม่มีผู้ใดขยับ " ไม่เห็นจะกลัวเลย" อลิซว่า(เพราะตอนนี้เธอตัวใหญ่เต็มที่แล้ว)
" พวกท่านก็เป็นแค่เพียงไพ่สำรับหนึ่งเท่านั้นเอง" ทันใดนั้น...ไพ่ทั้งหมดก็ลอยขึ้นไปในอากาศแล้วพุ่งตัวสาดเข้าใส่อลิซอย่างหมายปองร้ายทันทีทันใด...
อลิซหวีดร้อง ทั้งโกรธทั้งตกใจ และพยายามปัดไพ่ให้พ้นตัว แล้วเธอก็กลับพบว่าตัวเอง นอนอยู่ริมน้ำ หัวหนุนตักพี่สาว
ผู้ซึ่งค่อย ๆ ปัดใบไม้แห้งจากต้นไม้ที่หล่นลงมาบนหน้า อลิซ " ตื่นได้แล้วจ้ะ อลิซ" พี่สาวของเธอพูด
" หลับได้นานจริงนะเรา " อลิซจึง
ตะลีตะลาน ลุกขึ้นก่อนที่จะพูดว่า
" โอ๊ย หนูฝันประหลาดเหลือเกิน"
แล้วอลิซก็เล่าความฝันนั้นให้พี่สาว ฟังเท่าที่เธอจำได้...พอเล่าจบ พี่สาวก็จูบหน้าผากเธอแล้วพูดว่า
" ฝันแปลก เป็นเรื่องเป็นราวจริง ๆ ด้วยจ้ะ แต่ตอนนี้เราวิ่งกลับ บ้านก่อนดีกว่า..ว่าไหม?เพราะใกล้เวลาน้ำชาแล้ว" อลิซจึงลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป ขณะที่วิ่งนั้นเธอก็พยายามจะคิดไปด้วยว่า ความฝันเมื่อกี้ช่างประหลาดเสียนี่กระไร
สุดท้าย...พี่สาวของอลิซนึกภาพถึงอลิซว่าต่อไปอีกไม่นานนัก เมื่อน้องสาวตัวน้อย ของเธอคนนี้เติบโตขึ้นเป็นสาวเต็มวัย ตลอดช่วงที่เธอเป็นผู้ใหญ่นั้น เธอจะยังคงรักษา หัวใจใสซื่อและเมตตากรุณาของวัยเด็กไว้ได้ เธอจะมีเด็ก ๆ รุมล้อมไม่ห่าง แล้วเธอก็จะทำ ให้เด็ก ๆ ตาโตเป็นประกายด้วยการเล่าเรื่องราวอันแสนประหลาด หรืออาจจะเล่าความฝัน ถึงดินแดนมหัศจรรย์ที่เคยฝันถึงเมื่อนานมาแล้วในวัยเด็กของเธอ เธอจะอ่อนไหวไปกับ ความเศร้าอย่างจริงใจ และแช่มชื่นไปกับความรื่นเริงอย่างจริงใจของเด็ก ๆ ขออธิฐาน ให้เธอยังจะคงจำได้ดีถึงชีวิตในวัยเด็กของตัวเอง แล้วก็วันคืนอันแสนสุขในฤดูร้อนนี่ ทั้งหมด....นะน้องสาวตัวน้อยคนดีของพี่...
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...
เมื่อยามเกิดเหตุคับขัน...ไร้หนทางต่อสู้ มีสิ่งเดียวที่จะทำให้เราออกจากสถานการณ์ที่เลวร้าย
ได้ก็คือ สติ เราต้องตั้งสติให้มั่นแล้วจึงค่อย ๆ คิดแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นเอาทีหลัง...
ที่มา: http://sukumal.net
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)